Anyone have a life to going on but that who like to wirte something on some space for remember evet happen in life,I am also, that i can sharing on my jounal.
วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2554
บทเรียนที่เราต้องคิดก่อนทำ
วันเวลาก็ได้ผ่านไปอีกครา แต่ว่าคงหมุนกลับมาำไม่ได้อีกแล้ว และแล้ว วันนี้ก็มีเรื่องมาเล่ากันอีก หลังจากไม่ได้แวะมานาน ก็คิดถึงบ้านของตัวเองเหมือนกัน อิอิ ที่นี่เป็นมุมแห่งหนึ่งที่เข้ามาเขียนแล้วมีความสุขดี ที่มีเรื่องเล่าสู่กันฟัง อยากเล่าให้ทุกท่านที่เข้ามาอ่านนะ เรื่องนี้ก็เป็นบทเรียนบทหนึ่งที่ควรจะจดจำเช่นกัน คือเรื่องมีอยู่ว่า ดิฉันทำงานอยู่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ทำมาจะครบปีแล้ว และวันหนึ่งมีคนที่เพิ่งมาทำงาน จะอยู่โซนแผนกต้อนรับ ด้านหน้างาน ส่วนดิฉันอยู่ back office และเห็นเขาคล้ายเพื่อนเก่าของดิฉันที่ไปอยู่ฝรั่งเศส ตอนนั้นคิดถึงเพื่อนมาก ได้รู้สึกสงสารผู้หญิงคนหนึ่งที่เราไม่รู้จักหรือคุ้นเคยมาก่อน ด้วยความสงสารและเห็นอกเห็นใจ อยากจะช่วยให้เขาปลอดภัยเพราะว่าบ้านเขาไกล อยากยื่นมือเพื่อให้เขาสบายและเราเองก็เหงา อยู่คนเดียว ไม่น่ามีปัญหาอะไร แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียวที่หน้าเหมือนเพื่อนเก่าเราเอง เพราะด้วยที่เขาเป็นคนอีสานเหมือนกัน จึงมีลักษณะคล้ายกัน ดิฉันก็ได้ออกตัวต้อนรับเต็มที่ เพราะความคึกคะนอง มุทะลุ และด้วยนิสัยใจร้อนและใจดี อยากให้เขามาอยู่ด้วย เดินตามติดเขาตลอด และไม่ให้ห่างกันเลย อยากรับประทานอะไรก็ไปด้วยกัน คิดอะไรก็บอกกัน คิดว่าแม้เขาจะเรียนน้อยกว่า ความคิดอาจจะไม่ทันกันและไม่ตรงกัน เพราะมองคนละด้า่นในบางเวลา หน้าที่การงานก็ต่างกัน แต่หากเป็นเพื่อนกันและมีความจริงใจ คงไม่เป็นไร ไม่คิดว่าจะมีปัญหาอะไรในวันข้างหน้า เพื่อนคนนี้มาอยู่ได้ 1 สัปดาห์ อย่างจริงจัง เราก็เริ่มรู้สึกอึดอัด และรู้สึกเริ่มคิดแล้วว่าเราคิดผิดหรือถูกกันนะ เพราะว่าเราไม่เคยอยู่กับใคร และอยากทำอะไรก็ทำ อยากจะไปไหนก็ไปไม่ต้องห่วงห้องและอยากจะนอนกี่โมงก็นอน ไม่ต้องมานั่งเกรงใจใคร เพราะเราจะทำอะไรก็ได้ สบายอกสบายใจ แค่เหงาบางเวลา ตามประสาคนโสดแค่นั้นเอง สุดท้ายก็ไปหาเพื่อนสนิท ไปแหย่กันเล่นบ้าง ให้ด่ากันพอชุ่มฉ่ำหัวใจ สนุกดี และแ้ล้ว วันและเวลาก็ผ่านไป3 เดือน ต่างคนเริ่มเห็นลายกัน ด้วยนิสัยที่ชอบความเป็นส่วนตัวของเรา ไม่ชอบให้ใครมาจุกจิก แต่เขาก็ไม่จุกจิกนะ เพราะเขาจะทำทำไม ทำแล้วได้อะไร ตอนที่อยู่กับเพื่อคนนี้ เงินก็ไม่พอใช้ เขาลำบาก เราก็ลำบากด้วย เพราะเห็นเขาไม่มี เราก็ให้ยืม ลำบากทุกอณูรูขุมขน ตอนเราทำอะไร เล่นอะไร พูดอะไร เขาก็ไม่เช้าใจ กลับเข้าใจตรงกันข้ามเราอีก เห้อ ทำให้เราอธิบายนานกว่าเดิมและเราก็ไม่สามารถจะบอกเขาได้หมด เพราะเขาเป็นคนไม่ยอมรับความจริง ไม่ยอมรับผิด ในบางอย่างที่เขาทำ และไม่สามารถไว้ใจได้เวลาที่เราไม่อยู่ห้อง เพราะเขาไม่รอบคอบ ไม่สามารถที่จะปรับทุกข์ได้เพราะเขาคิดว่าตัวเองทุกข์กว่าเรา แถมมีการมาเปรียบเทียบเงินเดือนกันอีก โอ้ตาย! เธอทำงานอะไร และฉันทำงานอะไรกัน ทำไมไม่คิดว่าเราคนละตำแหน่งกัน หน้าที่เธอใช้สมองน้อยกว่าก็เงินน้อยกว่าเป็นธรรมดา อีกอย่างเขาคิดไม่ได้ และเขาไม่เคยให้เกียรติเราเลย คิดว่าตัวเองดีตลอด ไม่เคยคำนึงถึงความดีที่เราเคยช่วยเหลือ ให้ความห่วงใย มอบสิ่งดีๆให้ 3-4 เดือนผ่านไป มันก็แตกสลายไป เมื่อคนเรารู้ลาย นิสัยแท้จริง เราก็คิดว่าการอยู่คนเดียวดีที่สุดและเราก็ตั้งใจจะย้ายหอ แต่ก็ดันติดที่คนดูแลหอพักเรื่องมาก จริงๆที่เราย้ายเพราะเราไม่ชอบคนจัดการหอ ป้าแกเรื่องมาก จุกจิก วุ่นวาย เราเลยไม่ชอบและเกลียดเลยแหละ ค่าหอก็แพง จึงออกและไปอยู่หอใกล้ๆที่ทำงาน แถวถนนจันทน์ ซอยเจริญราษฎ์ 7 แหม จากหอห้วยขวางใกล้ๆ รถไฟใต้ดิน สะดวกสบาย มาขึ้นรถเมล์ แล้วหอพักก็เป็นแบบตึก 5 ชั้น เราอยู่ชั้น 4 ค่ะ จะบอกว่าสูงมาก สถานที่ก็อยู่แถบสลัมเพราะเป็นสลัมเก่าที่เขาไล่ที่ไป สภาพก็น่ากลัวตอนเดินทางเข้าไป นี่นึกไม่ออ ถ้า่ดึกสัก 5 ทุ่ม เราจะทำอย่างไร เหนื่อยตอนย้ายของออกนี่แหละ สุดยอดของการปวดขาและปวดตัว ตอนย้ายของกลับบ้านด้วยแหละ เหนื่อยมากๆ จ้งรถไป 2 ครั้งเป็นเงิน เกือบ 2000 บาท และก็ไม่ได้ใกล้ที่ทำงานซะทีเดียว ต้องนั่งรถไป 1 ชม. แต่ก็ใกล้กว่าที่บ้านที่นครชัยศรี เพราะรถจะติดมาก วันธรรมดา และต้องขยันออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ จึงตัดสินใจ save ค่าหอพักเพื่อไปอยู่บ้าน ให้เงินแม่บ้างและเก็บเงิน เหตุผลที่ไม่ค่อยมีตังให้ เพราะค่าใช้จ่ายทั้งนั้น เงินเดือนก็น้อย ไม่เคยมีเงินเก็บเลย แลกเอากับความขยันที่จะต้องเสียเงินไป แค่ตื่นเช้าเอง จะนอนทำไมมากมาย หน้าที่ต้องทำมากมาย และเก็บเงินไว้เผื่อจะซื้อความสุขให้ตัวเองโดยการไปเที่ยวที่ไหนไกลๆซัก 1 ที่ หรืออาจจะต่างประเทศ ตอนนี้อยากเก็บเงิน ถ้าที่บ้่านไม่มีปัญหาทำให้เราต้องออกไปไกลๆอีก อิอิอิ นี่แหละคือบทเรียนของความสงสารล่ะ คิดอะไรเล็กนิดเดียว บางครั้ง อาจจะเสียเวลา อาจจะเสียใจ เสียความรู้สึก ที่ได้ไว้ใจใครคนหนึ่งแต่วันหนึ่งก็พิสูจน์ได้ว่าเขาไม่ได้จริงใจกับเราเลย จนเรารู้โดย sense ว่าเราไม่สามารถไว้ใจเขาได้อีกต่อไปและเลิกคบไป มาคิดได้ก็ไม่ได้สายเกินไปกับเวลาที่เสียไปที่ถอนตัวออกก่อน เราทราบได้่ว่า เขาไม่ได้จริงใจกับเรา ยามเราลำบากเช่น เครียดหรือเสียใจ ยามป่วยไข้ก็ไม่ได้มาดูแล บางทีก็รู้สึกว่าคนเราต่างที่มา จิตสำนึกต่างกัน สรุป เขาก็ไม่ได้ยื่นมือมาช่วย แม้แต่กำลังใจ เวลาที่คบกันมาสั้นนิดเดียว แต่ที่ได้ช่วยเหลือเขาให้มีที่อยู่ ใกล้ๆที่ทำงาน ยามลำบากไปไหนมาไหนก็ช่วย ยามดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัด ก็ห่วงและไปเป็นเพื่อน ยามเพื่อนไม่มีก็ให้ยืมเงินไป ไม่เคยมองเห็นความจริงใจที่เรามอบให้เขา เราไม่กล้าให้เพราะกลัวเขาไม่คินอีกละ และไม่ทวงก็ไม่คิดจะคืน ไม่นับด้วย พอบอก็โกรธแต่จะว่าไปก็โกรธเถอะ ก็เงินเรา ยืมก็คือยืม สุดท้ายสิ่งที่ได้ก็คือผลตอบแทนของมนุษย์ปุถุชนทั่วไปที่มาจากคนละทิศละที่ กัน ไม่รู้จักกันมาก่อน คนเราร้อยพ่อพันแม่ เราคบกันไม่ถึงเดือน ไม่สามารถอ่านใจได้หมดเพราะมันอยู่ข้างใน เราต้องใช้เวลาเขาถึงได้ว่ากันว่า "ระยะทางพิสุจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คนไง" อย่างน้อยเราก็มีเพื่อนที่คบได้และไว้ใจได้สักคน ไม่เอ่ยชื่อละนะ แต่มี เพื่อนอีกหลายคนเหมือนกันที่เขาไม่อยากช่วยเหลือยามเราลำบากเพราะมัน มักจะปัดไปและไม่อยากช่วยเหลือ ก็ไม่คบอีกต่อไปและรู้สึกไม่ดี ไม่มีความจำเป็นและไม่ต้องติดต่อ คนแล้งน้ำใจและขี้คุยอันนี้แย่กว่า ต้องดูให้ดีนะ นี่แหละมนุษย์ จะทำอะไร อย่าคิดนิดเดียวเหมือนดิฉัน จะคบใคร หรือไว้ใจต้องใช้เวลา อย่ากลัวที่จะอยู่คนเดียวเพราะหากคุณเจอคนไม่ดี สู้อยู่ตัวคนเดียวดีกว่า บทเรียนของฉันที่ได้มาก็คือเพื่อนที่เราแต่เรียกขานว่าเพื่อน แต่ไม่้ได้ช่วยให้เราดีขึ้น เพื่อนที่ดีก็มีค่ะ แต่อันนี้ case นี้ขอเล่าก่อนเพราะมันอันตรายสำหรับคนบางคนและเสียเวลาที่จะไว้ใจคนที่เรา ไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย อย่าสงสารคนอื่น เพราะวันหนึ่งคุณจะสงสารตัวเองเหมือนดิฉัน
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น